รายงานทางพันธุศาสตร์เซลล์ระดับโมเลกุลครั้งแรกของกิ้งก่าบินหัวสีฟ้า (Draco volans)นอกเขตป่าอนุรักษ์ฮาลา-บาลา อำเภอธารโต จังหวัดยะลาของประเทศไทย
คำสำคัญ:
กิ้งก่าบินหัวสีฟ้า , แคริโอไทป์ , เทคนิคฟลูออเรสเซนซ์อินซิทูไฮบริไดเซชันบทคัดย่อ
ที่มาและวัตถุประสงค์ : เนื่องจากประเทศไทยมีระบบนิเวศที่หลากหลายทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะสัตว์เลื้อยคลานในกลุ่มกิ้งก่าบินในประเทศไทยพบถึง 10 ชนิดพันธุ์ จากกิ้งก่าบินมีทั้งหมด 31 ชนิดพันธุ์ที่พบทั่วโลกแต่ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ทั้งในระดับเซลล์และเซลล์ระดับโมเลกุลน้อยมาก นำมาสู่วัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาแคริโอไทป์ ชนิดของโครโมโซม จำนวนของโครโมโซมและรูปแบบการกระจายตัวของลำดับเบสซ้ำด้วยเทคนิคฟลูออเรสเซนซ์ อินซิทูไฮบริไดเซชั่น บนโครโมโซมของกิ้งก่าบินหัวสีฟ้า
วิธีดำเนินการวิจัย : เตรียมโครโมโซมด้วยการฉีดสารโคลชิซิน 0.05% ปริมาตร 0.1 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 10 กรัม นำไขกระดูกแช่ในสารละลายโพแทสเซียมคลอไรด์ (KCl) 0.075 โมล/ลิตร ก่อนนำไปปั่นเหวี่ยงหลังจากนั้นหยดเซลล์ที่ได้บนกระจกสไลด์ที่สะอาด และย้อมสีโครโมโซมแถบธรรมดา แถบเอ็นโออาร์ และย้อมด้วยเทคนิคฟลูออเรสเซนซ์ อินซิทู ไฮบริไดเซชั่น นำสไลด์ไปส่องใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง และกล้องฟลูออเรสเซนซ์
ผลการวิจัย : แคริโอไทป์ของกิ้งก่าบินหัวสีฟ้า พบว่าจำนวนโครโมโซมดิพลอยด์เท่ากับ 34 แท่ง จำนวนโครโมโซมพื้นฐานเท่ากับ 46 ประกอบด้วยโครโมโซมชนิดเมทาเซนทริกขนาดใหญ่ 8 แท่ง เมทาเซนทริกขนาดเล็ก 2 แท่ง ซับเมทาเซนทริกขนาดใหญ่ 2 แท่ง และเทโลเซนทริกขนาดเล็ก 22 แท่ง พบตำแหน่งเอ็นโออาร์บริเวณโครโมโซมคู่ที่ 1 (1q cen) ปรากฏบริเวณใกล้ตำแหน่งเซนโทรเมียร์บนแขนข้างยาวของโครโมโซม รูปแบบการซ้ำของไมโครแซทเทลไลท์พบว่า รูปแบบการซ้ำของโพรบ d(GC)15 d(TA)15 d(CAG)10 และ d(CAA)10 พบสัญญาณโพรบสะสมกระจายทั่วบนโครโมโซม
สรุปผลการวิจัย : จำนวนโครโมโซมดิพอยด์ (2n) ของกิ้งก่าบินหัวสีฟ้า เท่ากับ 34 แท่ง มีโครโมโซมชุดใหญ่ 12 แท่ง และโครโมโซมชุดเล็ก 22 แท่ง มีโครโมโซมพื้นฐานคือ 46 พบตำแหน่งเอ็นโออาร์บริเวณโครโมโซมคู่ที่ 1 (1q cen) ผลการศึกษารูปแบบการซ้ำของไมโครแซทเทลไลท์ พบว่า รูปแบบการซ้ำของโพรบพบสัญญาณโพรบสะสมกระจายทั่วบนโครโมโซม การศึกษาครั้งนี้เป็นการเพิ่มข้อมูลพื้นฐานในการศึกษาพันธุศาสตร์ในอนาคต กิ้งก่าบินหัวสีฟ้าสูตรแคริโอไทป์ดังนี้
2n (34) =L8m+L2sm+S2m+Mi22dot (1)
References
American Veterinary Medical Association (AVMA). (2020). AVMA Guidelines for the Euthanasia of Animals. 2020 Edition. Available online: https://www.avma.org/sites/default/files/2020-02/Guidelines-on-Euthanasia-2020.pdf [February 25, 2023]
Chuaynkern, Y., & Chuaynkern, C. (2012). List of reptiles found in Thailand. Journal of Wildlife in Thailand, 19(1), 75-162. (in Thai)
Kritpetcharat, O., Kritpetcharata, C., Luangpirom, A., & Watcharanon, P.(1999). Karyotype of Four Agamidae Species from the Phu Phan National Park in Thailand.Journal ScienceAsia, 25, 185-188.
Lauhachinda, W. (2009). Herpetology of reptiles and amphibians. Kasetsart University. (in Thai)
Ota, H., & Hikida, T. 1989. Karyotypes of three species of the genus Draco (Agamidae: Lacertilia) from Sabah, Malaysia. Japanese journal of herpetology, 13(1), 1-6.
Phimphan, S., Aiumsumang, S., Tanomtong, A., & Jantarat, S. (2021). Karyomorphological delineation and linear differentiation of microsatellite patterns, and meiosis in giant Asian river frog (Limnonectes blyhii) from Thailand. Journal springer, 64, 249-254.
Tanomtong, A., & Pinthong, K. (2019). Cytogenetics. (1). Chulalongkorn University. (in Thai)
Tanomtong, A. (2010). Cytogenetics. Khon Kaen University Press. Khon Kaen. (in Thai)
Suwanwaree, P., Aroon, S., Suwanrat, J., Hengbunmee, S., & Strine, C.T. (2013). Biodiversity of Mammals, Birds, Reptiles, Amphibians and Fishes in Plant Genetic Protection Area of RSPG Nampung Dam, Sakon Nakhon. In Research Funding from Suranaree University of Technology. Biology Department: Suranaree University of Technology. (in Thai)
Wajidee, A., Tanyongwaree, A., Chanthasri, B., & Rio, M. (2013). The epic of the forest 'Hala-Bala'. In Srikumkwan, A., San Sai Yai Watthantham Hua Jai Deaw Kan.(pp. 6-7). Narathiwat Province: Phong Narakan Printing. (in Thai)
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
Burapha Science Journal is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) licence, unless otherwise stated. Please read our Policies page for more information